ติดต่อเราได้ที่
icons8-cell-phone-40 086-564-5326 icons8-cell-phone-40 02-003-4318
Thursday, 03 Oct 2024
เวียนหัว หรือเวียนศีรษะ (Dizziness)

เป็นคำกว้าง ๆ ที่ใช้เรียกอาการหมุนใน 2 ลักษณะ คือ รู้สึกวิงเวียนเหมือนสิ่งรอบตัวหมุน และอีกลักษณะคือรู้สึกโคลงเคลง หน้ามืดเหมือนจะวูบ

 

image001

ระบบการทรงตัวของร่างกายต้องอาศัยการทำงานประสานกันของอวัยวะหลายส่วน โดยสมอง ตา และหูจะเป็นส่วนหลักในการช่วยรักษาสมดุลของร่างกายในท่าทางต่าง ๆ ดวงตาจะช่วยในการรับรู้สภาพแวดล้อมภายนอก กล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ จะช่วยในการรับรู้การเคลื่อนไหวแขน ขา และส่วนอื่นของร่างกาย รวมไปถึงการรับรู้การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งร่างกายผ่านทางประสาททรงตัวในหูชั้นในทั้ง 2 ข้าง ก่อนส่งสัญญาณไปที่สมองในการสั่งการร่างกาย เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้นกับส่วนใดส่วนหนึ่งจากโรคต่าง ๆ หรือทำงานได้ไม่สอดคล้องกัน จึงทำให้ระบบการทรงตัวเสียไปชั่วขณะ

จากข้อมูลของภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ทำการศึกษาอาการเวียนศีรษะ (รวมทุกประเภท) พบว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ถึงร้อยละ 61 และพบได้มากในกลุ่มผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุมากขึ้น

อาการเวียนหัว

เวียนหัวเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง สามารถอธิบายได้ถึงความรู้สึกในหลายลักษณะดังนี้

  • ความรู้สึกเหมือนสภาพแวดล้อมหรือสิ่งรอบตัวมีการหมุน หรือที่เรียกว่า บ้านหมุน (Vertigo)
  • มีอาการเวียนหัวในลักษณะหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม (Lightheadedness)
  • ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้ หรือทรงตัวไม่อยู่
  • มีอาการหนักหัว มึนงง ตื้อ ๆ
  • คลื่นไส้ อาเจียน

อาการเหล่านี้ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ขณะเดินหรือยืน หรือขณะเคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางต่าง ๆ ทั้งนี้อาการอาจเกิดขึ้นชั่วขณะ เป็นพัก ๆ แล้วหายไป หรือนานเป็นวัน ๆ ซึ่งกระทบกระเทือนต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้หากเวียนหัวขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ

หากพบว่าอาการเวียนหัวรุนแรงขึ้น หรือเกิดความผิดปกติอื่นร่วมกับอาการเวียนหัว เช่น ความสามารถในการได้ยินเสียงลดลงหรือเกิดความผิดปกติ มีปัญหาในการพูด แขนขาอ่อนแรง หัวใจเต้นผิดปกติ เจ็บหน้าอก มีอาการชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือสาเหตุอื่นที่อธิบายไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน เพื่อหาสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด

สาเหตุของอาการเวียนหัว

อาการเวียนหัวสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เพราะเป็นอาการกว้าง ๆ ที่เกี่ยวโยงไปได้ในหลายโรค แต่สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเวียนหัวมีดังนี้

ความผิดปกติของหูชั้นใน

ภายในหูชั้นในประกอบด้วยอวัยวะที่ควบคุมระบบการทรงตัว (Vestibular System) ที่คอยสร้างความสมดุลในการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางต่าง ๆ เมื่อหูชั้นในเกิดความผิดปกติจากการติดเชื้อ การอักเสบ หรือเป็นผลมาจากโรคที่เกี่ยวข้องกับหูชั้นใน ก็ส่งผลให้ระบบการทรงตัวเกิดความผิดเพี้ยนตามไปด้วย

โรคที่เกี่ยวข้องกับหูชั้นในที่เป็นสาเหตุของการเวียนหัว เช่น

  • โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) เกิดจากตะกอนหินปูน (Otoconia) ที่อยู่ในอวัยวะควบคุมการทรงตัวภายในหูชั้นในหลุดออกมาจากตำแหน่งเดิม ส่งผลให้เกิดอาการเวียนหัวในขณะเปลี่ยนท่าทางของศีรษะ ซึ่งสาเหตุอาจการเกิดได้หลายประการ เช่น การเสื่อมตามวัย อุบัติเหตุที่กระทบต่อศีรษะอย่างรุนแรง ทำงานในสภาพที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ ขยับศีรษะซ้ำไปมาบ่อย ๆ
  • โรคประสาทหูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) เป็นภาวะของประสาทหูชั้นในอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งการอักเสบของหูชั้นรอบ ๆ เส้นประสาทนี้จะส่งผลต่อระบบการทรงตัวของร่างกาย
  • โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของน้ำและแรงดันที่อยู่ภายในหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หูอื้อหรือแน่นหู และการได้ยินลดลงหรือได้ยินเสียงผิดปกติ
  • ประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular Neuronitis) เกิดจากเส้นประสาทการทรงตัวจากท่อครึ่งวงกลมภายในหูชั้นในส่งสัญญาณการทรงตัวของร่างกายไปยังสมอง 2 ข้างไม่เท่ากัน เนื่องจากภาวะอักเสบ
  • โรคไมเกรน (Migraine) อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเวียนหัวร่วมด้วย หรืออาการเวียนหัวอาจพัฒนาขึ้นได้ภายหลัง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดในสมองที่ผิดปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการเวียนหัวหลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน

ระบบหมุนเวียนโลหิตที่ผิดปกติ

อาจเกิดได้จากภาวะโลหิตต่ำหรือภาวะโลหิตตกจากการเปลี่ยนท่าทางที่รวดเร็ว (Orthostatic Hypotention) รวมไปถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม (Cardiomyopathy) กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart Attack) ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Heart Arrhythmia) หรือ ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack) ล้วนส่งผลให้เกิดการเวียนหัว หน้ามืด เป็นลม หรือควบคุมการทรงตัวได้ยาก เนื่องจากหัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงสมองหรือหูชั้นในได้เพียงพอ

ความผิดปกติทางระบบประสาท

อาการเวียนหัวอาจเกิดได้จากโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง เช่น การบาดเจ็บที่ศีรษะ  โรคลมบ้าหมู เส้นเลือดตีบตัว โรคพาร์กินสัน เนื้องอกในสมอง สมองเสื่อม ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ แพทย์จำเป็นต้องแยกสาเหตุของอาการเวียนศีรษะออกจากความผิดปกติทางระบบประสาทออกไป เพราะหากสาเหตุเกิดจากระบบประสาท ก็จำเป็นต้องได้รับการสืบค้นหาโรคเพื่อรักษาได้ตรงประเด็น

สาเหตุอื่นของการเวียนหัว

สาเหตุอื่น ๆ อาจเกิดได้จากโรคทางระบบกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสส่วนปลาย (Somatosensation และ Propioception) ภาวะโลหิตจาง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ยาบางชนิดที่มีผลต่อระบบประสาททรงตัวในหูชั้นใน ภาวะการเสียน้ำและเกลือแร่ ความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ เป็นต้น

การวินิจฉัยอาการเวียนหัว

เวียนหัวเป็นอาการที่ไม่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง แพทย์จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจนก่อนทำการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติผู้ป่วย เช่น ประวัติการเจ็บป่วย การใช้ยา หรืออุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนต่อศีรษะและสมอง เป็นต้น จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย และการตรวจพิเศษอื่น ๆ ประกอบด้วย ดังนี้

การทดสอบการทรงตัว (Vestibular function test)

  • การตรวจการเคลื่อนไหวของดวงตา แพทย์จะทดสอบการเคลื่อนไหวของดวงตาผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยมองตามวัตถุที่เคลื่อนไหว หรือการตรวจการทำงานระหว่างหู ตา และสมอง โดยใช้น้ำอุ่น น้ำเย็น หรือลมเข้าไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะการทรงตัวภายในหู
  • การเคลื่อนไหวของศีรษะ เป็นการทดสอบเฉพาะด้วยวิธีการที่เรียกว่า Dix-Hallpike Maneuver ในกรณีที่แพทย์คาดการณ์ว่าผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะที่เกิดจากโรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน โดยให้ผู้ป่วยล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็วในท่าตะแคงศีรษะและห้อยศีรษะเล็กน้อย แพทย์จะทำการสังเกตการกระตุกของลูกตา ซึ่งจะพบอาการกระตุกของดวงตาหากผู้ป่วยเป็นโรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อนร่วมกับอาการเวียนศีรษะ
  • การทดสอบการทรงตัว (Posturography) เป็นการทดสอบการเคลื่อนไหวของร่างกายว่าส่วนใดเกิดปัญหา เพื่อแยกหาสาเหตุการเสียการทรงตัว โดยใช้เครื่องตรวจประเมินความสามารถในการทรงตัวขณะยืนหรือการกลับสู่ท่ายืนตรงภายใต้สภาวะต่าง ๆ เช่น การยืนทรงตัวบนพื้นกระดกขึ้น-ลง ยืนทรงตัวบนพื้นที่เลื่อนไปด้านหน้า-ถอยหลังด้วยแรงที่แตกต่างกัน และยืนทรงตัวขณะขยับฉากหรือพื้น

นอกจากนี้ยังมีการตรวจเลือด เพื่อตรวจหาความเข้มข้นของเลือด การติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิส หรือการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมสำหรับหัวใจ และหลอดเลือด สำหรับการตรวจด้วยเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอ็มอาร์ไอ จะช่วยการสืบค้นในบางรายที่มีข้อบ่งชี้

การรักษาอาการเวียนหัว

ผู้ป่วยที่มีอาการเวียนหัวสามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้เองที่บ้าน หากเริ่มมีอาการเวียนหัว ควรหยุดพักชั่วครู่ โดยการนั่งพักหรือนอนบนพื้นราบในลักษณะที่ศีรษะยกขึ้นสูงเล็กน้อย หยุดการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งเคลื่อนไหวร่างกายให้ช้าลง เพื่อบรรเทาให้อาการดีขึ้น หากอาการเกิดบ่อยมากขึ้น ซ้ำ ๆ ต่อกัน ควรไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและแนวทางรักษาที่เหมาะสม

แพทย์จะรักษาผู้ป่วยตามสาเหตุการเกิดและอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก รวมไปถึงแนะนำการออกกำลังกายและการบริหารระบบการทรงตัว แต่หากไม่พบสาเหตุของอาการเวียนหัว แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหรือการรักษาพิเศษอื่น ๆ

  • การทำกายภาพบำบัดและฝึกบริหารระบบการทรงตัว เป็นการเคลื่อนไหวศีรษะ คอ และร่างกายอย่างช้า ๆ ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้วยหลากหลายวิธี เพื่อช่วยแก้อาการเวียนศีรษะจากโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นในและระบบประสาททรงตัวอักเสบ
  • การรักษาด้วยยา แพทย์อาจให้การรักษาด้วยยาในหลายรูปแบบแก่ผู้ป่วย ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดร่วมกับอาการเวียนหัว เช่น ยาในกลุ่มยาต้านการอาเจียน การแก้ไมเกรน คลายกล้ามเนื้อ
  • การรักษาด้วยวิธีอื่น ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผลและผู้ป่วยยังมีอาการเวียนศีรษะมาก แพทย์อาจทำการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าสู่หูชั้นกลาง เพื่อช่วยควบคุมอาการเวียนหัว หรือการผ่าตัดเส้นประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวในหูชั้นใน แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินร่วมด้วย
Last Updated on Thursday, 09 January 2020 00:33